Reason to trust

How Our News is Made
Strict editorial policy that focuses on accuracy, relevance, and impartiality
Ad discliamer
Morbi pretium leo et nisl aliquam mollis. Quisque arcu lorem, ultricies quis pellentesque nec, ullamcorper eu odio.
ราคา Bitcoin (BTC) ผันผวนอีกครั้งในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยร่วงลง 5% ในวันอาทิตย์จนต่ำกว่าระดับ 80,000 ดอลลาร์ ก่อนที่จะปิดที่ระดับเกือบ 82,000 ดอลลาร์
การร่วงลงครั้งล่าสุดนี้ทำให้สกุลเงินดิจิทัลนี้ลดลง 25% จากระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 109,900 ดอลลาร์ นักวิเคราะห์ระบุว่าสถานการณ์นี้เกิดจากความตึงเครียดทางการค้าที่ยังคงดำเนินอยู่ ซึ่งเชื่อมโยงกับมาตรการภาษีล่าสุดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) และความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่กำลังใกล้เข้ามา
ในขณะเดียวกัน ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ที่อ่อนค่าลงจาก 110 เหลือ 103 ตั้งแต่กลางเดือนมกราคม ซึ่งตรงกับช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งสมัยที่สอง อาจเป็นตัวเร่งให้ราคาบิทคอยน์ขยับขึ้นได้
Jamie Coutts ซึ่งเป็น Chief Crypto Analyst จาก Realvision ได้แสดงมุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดในปัจจุบันผ่านการทวีตบนแพลตฟอร์ม X โดยเขาได้ชี้ให้เห็นถึงตัวชี้วัดสำคัญสองประการที่อาจมีผลต่อการกำหนดนโยบายของธนาคารกลาง และอาจส่งผลกระทบต่อทิศทางของ Bitcoin ด้วยเช่นกัน
“Bitcoin ก็เหมือนเกมที่ต้องประชันความอดทนกับธนาคารกลาง” Coutts กล่าวไว้
เขาได้อธิบายว่า แม้การอ่อนค่าของดอลลาร์ในช่วงนี้จะช่วยสนับสนุนกรอบเชิงบวกสำหรับ Bitcoin แต่ความผันผวนที่เพิ่มขึ้นของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (ซึ่งติดตามโดย MOVE Index) และส่วนต่างของพันธบัตรองค์กรที่ขยายตัวก็กำลังสร้างความกังวลเช่นกัน
โดย Coutts ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในฐานะสินทรัพย์หลักประกันระดับโลก เขาให้เหตุผลว่า หากความผันผวนของพันธบัตรเหล่านี้เพิ่มสูงขึ้น จะส่งผลให้ผู้ให้กู้ต้องกำหนด «haircut» ที่สูงขึ้นต่อหลักประกัน ซึ่งจะนำไปสู่การลดสภาพคล่องในตลาด
“เมื่อความผันผวนเพิ่มขึ้น ผู้ให้กู้จำเป็นต้องปรับเพิ่ม haircut สำหรับหลักประกัน ส่งผลให้สภาพคล่องในระบบตึงตัวมากยิ่งขึ้น […] หาก MOVE Index ขยับเกินระดับ 110 ผมเชื่อว่าจะเริ่มมีความกังวลในระดับผู้กำหนดนโยบายส่วนกลาง” เขากล่าว

ตลอดช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา สเปรดของพันธบัตรองค์กรในสหรัฐฯ ที่มีเกรดการลงทุนเริ่มขยายตัวมากขึ้น ซึ่ง Coutts มองว่าสิ่งนี้อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอย่าง Bitcoin อาจเผชิญกับแรงกดดันในอนาคต
“สถานการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่าความต้องการที่ทำให้อัตราผลตอบแทนถูกกดดันให้อยู่ต่ำกว่า Treasuries กำลังลดลง และหากสเปรดยังคงขยายตัวมากขึ้น อาจส่งผลลบต่อสินทรัพย์เสี่ยง”
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีสัญญาณเตือนเหล่านี้ Coutts ยังคงแสดงมุมมองในเชิงบวกต่อแนวโน้มของ Bitcoin ในระยะกลาง โดยให้เหตุผลสำคัญมาจากการลดลงอย่างรวดเร็วของค่าเงินดอลลาร์
เขาชี้ให้เห็นว่าการอ่อนตัวของดอลลาร์ในเดือนมีนาคม ซึ่งถือว่าเป็นการลดลงรายเดือนที่มากที่สุดในรอบ 12 ปี มักจะสอดคล้องกับจุดเปลี่ยนสำคัญที่ราคา Bitcoin มีโอกาสปรับตัวขึ้น
ตามผลวิจัยของเขาระบุว่า “การลดลงเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นในช่วงที่ Bitcoin อยู่ในจุดต่ำสุดของตลาดหมี (bear market troughs) หรือในช่วงกลางของตลาดกระทิง (midcycle bull markets) ซึ่งเป็นช่วงที่แนวโน้มยังคงดำเนินต่อไป”
ปัจจัยสำคัญที่อาจผลักดันราคา BTC ขึ้นตามมุมมองของ Coutts
แม้ว่าข้อมูลในอดีตเกี่ยวกับ Bitcoin จะยังมีจำกัด แต่ Coutts ได้กล่าวถึงปัจจัยสำคัญหลายประการที่เขาเชื่อว่าอาจช่วยขับเคลื่อนมูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัลนี้ให้สูงขึ้นได้
การยอมรับในระดับประเทศ
Coutts ระบุว่า “การแข่งขันระดับโลกของประเทศต่างๆ ได้เริ่มขึ้นแล้ว” โดยเขาอธิบายถึงสถานการณ์ที่ประเทศบางแห่งอาจเริ่มบรรจุ Bitcoin ไว้ในทุนสำรองเชิงกลยุทธ์ หรือเพิ่มความพยายามในด้านการขุด (mining) เพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจของตนเอง
การสะสมสินทรัพย์โดยองค์กร
อีกหนึ่งประเด็นที่ Coutts ชี้ให้เห็นคือความเป็นไปได้ที่บริษัทต่างๆ โดยเฉพาะบริษัทอย่าง Strategy หรือชื่อเดิม MicroStrategy (MSTR) อาจเข้ามาเพิ่มการถือครอง Bitcoin อย่างจริงจัง โดยเขาประมาณการณ์ว่าปีนี้อาจมีการสะสมบิทคอยน์มากถึง 100,000 – 200,000 เหรียญจากองค์กรขนาดใหญ่
การลงทุนผ่าน ETF
Coutts ยังกล่าวถึงบทบาทของ Exchange-Traded Funds (ETF) โดยเขาคาดการณ์ว่า ETF อาจเพิ่มปริมาณการถือครองบิทคอยน์เป็นสองเท่า ซึ่งจะส่งผลให้กระแสเงินทุนไหลเข้าจากนักลงทุนสถาบันเพิ่มขึ้น
สภาพคล่องในตลาด
ในมุมมองของเขา การไหลเวียนของสภาพคล่องในตลาดยังคงมีความสำคัญ โดยเขาใช้คำว่า “The Spice Must Flow” เพื่อสื่อถึงความจำเป็นในการรักษาสภาพคล่องที่เพียงพอในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล
ความเคลื่อนไหวทางตลาดและบทบาทของธนาคารกลาง
Coutts ยังกล่าวว่าบิทคอยน์กำลัง “เติมเต็มช่องว่างสำคัญ” ในตลาดคริปโต แต่เขาเตือนว่าหากราคาหลุดต่ำกว่าช่วงปลาย $70,000 อาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในตลาด
ในอีกด้านหนึ่ง เขายังมองว่าธนาคารกลางอาจต้องเข้ามาแทรกแซงหากความผันผวนในตลาดพันธบัตร (Treasury volatility) และส่วนต่างเครดิต (credit spreads) ยังคงเพิ่มสูงขึ้น
โดยเขาอธิบายว่า “หากความผันผวนในพันธบัตรและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยยังเพิ่มขึ้น ราคาสินทรัพย์จะยังคงลดลง ซึ่งสถานการณ์นี้อาจผลักดันให้ผู้กำหนดนโยบายการเงินต้องลงมือแก้ไข”
บทวิเคราะห์นี้สะท้อนให้เห็นถึงการมองการณ์ไกลของ Coutts ที่ไม่เพียงแต่มุ่งเน้นไปที่ปัจจัยบวกของ Bitcoin แต่ยังเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตด้วย

ในการสรุปท้ายบทความ Coutts ได้อธิบายอย่างชัดเจนถึงเหตุผลที่เขามองว่า Bitcoin กำลังอยู่ในสภาวะเผชิญหน้ากับธนาคารกลาง โดยกล่าวว่า
“ลองนึกภาพว่า Bitcoin เป็นเกมชิงไหวชิงพริบที่มีเดิมพันสูงระหว่างผู้วางนโยบายการเงินของภาครัฐกับผู้ถือ Bitcoin (HODLers) ซึ่งเมื่อทางเลือกของธนาคารกลางลดน้อยลง—และหากผู้ถือ Bitcoin ยังคงไม่เพิ่มการกู้ยืม—โอกาสก็ดูเหมือนจะเริ่มเอียงมาทางฝั่งเจ้าของ Bitcoin มากขึ้นเรื่อยๆ”
ในเวลานี้ สกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Bitcoin กำลังเดินอยู่บนเส้นบางๆ ระหว่างแรงกดดันจากเศรษฐกิจมหภาคที่สะท้อนผ่านตลาดพันธบัตรที่มีความผันผวนและแรงสนับสนุนจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวลง

การที่แนวโน้มราคา Bitcoin จะถอยหลังลงคลองหรือเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นในระยะยาวนั้น อาจขึ้นอยู่กับการตอบสนองของผู้กำหนดนโยบายระดับโลกต่อความกดดันที่เพิ่มขึ้นในตลาดพันธบัตร รวมถึงความพร้อมของผู้ถือ BTC ที่จะยังคงเผชิญหน้ากับธนาคารกลางใน «เกมชิงไหวพริบ» นี้ต่อไป
BTCBULL – เหรียญมีมทางเลือกสำหรับแฟนๆ Bitcoin
BTC Bull Token (BTCBULL) มีจุดเด่นเฉพาะตัวที่แตกต่างจากเหรียญอื่น ๆ เนื่องจากผู้ถือโทเค็นจะได้รับรางวัลเป็น Bitcoin จริง เมื่อราคาบิทคอยน์บรรลุเป้าหมายสำคัญต่างๆ ตามที่กำหนดไว้
เป้าหมายแรกของโครงการนี้คือการแจก Bitcoin เมื่อราคาขยับถึง $150,000 และจะมีการแจกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ ระดับที่สูงขึ้น $50,000 เช่น $200,000, $250,000 และเป้าหมายขั้นถัดไป
แม้ว่าราคาที่กำหนดไว้อาจดูห่างไกลในสายตาบางคน แต่ข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นว่า Bitcoin มีความสามารถที่จะไปถึงได้จริง
ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา Bitcoin เคยสร้างผลตอบแทนรายเดือนสูงสุดถึง 46.95% และยังเคยมีช่วงเวลาการเติบโตต่อเนื่องหลายเดือน ตัวอย่างเช่น ระหว่างเดือนกันยายน 2023 ถึงมีนาคม 2024 ซึ่งเฉลี่ยผลตอบแทนรายเดือนอยู่ที่ 16.34%
BTC Bull Token แตกต่างจาก meme coin อื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด เพราะนอกเหนือจากการมอบ Bitcoin จริงให้ผู้ถือโทเค็นแล้ว ยังมีกลไก “การเผาโทเค็น” (Token Burn) ที่ช่วยลดจำนวนโทเค็นในตลาด ทำให้มูลค่าของโทเค็นที่เหลือเพิ่มขึ้น
กลไกนี้จะเริ่มทำงานเมื่อ Bitcoin แตะระดับราคาที่เพิ่มขึ้นครั้งละ $50,000 โดยเริ่มต้นตั้งแต่ $125,000 เป็นต้นไป
ในขณะที่ Bitcoin มีการลดอัตราการผลิตใหม่ลงทุกครั้งที่เกิด halving BTC Bull Token เลือกใช้วิธีการเผาโทเค็นที่มีอยู่ในตลาดเพื่อปรับลดอุปทานทั้งหมดอย่างแท้จริง การลดจำนวนโทเค็นในลักษณะนี้จึงช่วยสนับสนุนให้ราคามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะยาว
ยิ่งไปกว่านั้น การออกแบบที่สนับสนุนการถือโทเค็นในระยะยาว แทนที่จะเน้นการซื้อขายบ่อย ๆ ยังช่วยสร้างเสถียรภาพและเพิ่มมูลค่าให้กับโทเค็นในอนาคตอีกด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าซื้อ $BTCBULL ได้โดยตรงผ่านเว็บไซต์ทางการ โดยใช้ ETH, USDT หรือบัตรเครดิต
Best Wallet เป็นกระเป๋าสตางค์ที่แนะนำสำหรับการถือครองโทเค็นนี้ เพราะรองรับการรับ Bitcoin จาก airdrop โดยอัตโนมัติ เพียงแค่เก็บโทเค็นไว้ภายใน Best Wallet บิทคอยน์ก็จะถูกส่งตรงไปยังที่อยู่กระเป๋า BTC ในแอป
สามารถดาวน์โหลด Best Wallet ได้จาก Google Play หรือ Apple App Store
ติดตามข่าวสารล่าสุดของ BTC Bull Token ผ่านช่องทาง X และ Telegram เพื่อไม่พลาดทุกการอัปเดต!